"ไข่หอยเม่น (อูนิ)" ไข่หอยเม่นบาฟุน ไข่หอยเม่นมูราซากิ
หอยเม่นบาฟุน(Bafun Uni) และ หอยเม่นมูราซากิ(Murasaki Uni) เป็นหอยเม่นชนิดหนึ่งโดยเฉพาะส่วนที่กินได้ซึ่งเรียกว่า "อูนิ" ในญี่ปุ่น หอยเม่นแต่ละสายพันธุ์มาจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ทำให้มีรสชาติ สี และเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ เรามาดูกันว่าทั้งสองสายพันธุ์นี้แตกต่างกันอย่างไร?
หอยเม่นบาฟุน Bafun Uni (馬糞ウニ)
หอยเม่นบาฟุน ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ‘Hemicentrotus pulcherrimus’ สายพันธุ์นี้มักมีขนาดเล็กกว่าชนิดอื่นๆ และพบได้ทั่วไปในน่านน้ำที่เย็นของฮอกไกโด ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น
ไข่หอยเม่นบาฟุน มีไข่ลักษณะเป็นก้อนกลมขนาดเล็ก อัดแน่น และมีสีส้มสว่างสดใสจนถึงเหลือง มีรสชาติที่เข้มข้น หวาน โดยทั่วไปจะเสิร์ฟเป็นซูชิหรือซาซิมิ หรือรวมเข้ากับอาหารต่างๆ เพื่อเพิ่มรสชาติอูมามิ
หอยเม่นมูราซากิ Murasaki Uni (紫ウニ)
หอยเม่นมูราซากิ ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ‘Strongylocentrotus nudus’ มีขนาดใหญ่กว่าและอุดมสมบูรณ์กว่าหอยเม่นบาฟุน ซึ่งมักพบในน่านน้ำที่อุ่นตั้งแต่ตอนกลางไปจนถึงตอนใต้ของญี่ปุ่น
ไข่หอยเม่นมูราซากิขนาดเม็ดไข่จะใหญ่กว่า โดยมีสีตั้งแต่สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีทอง รสชาติจะอ่อนกว่าเมื่อเทียบกับไข่หอยเม่นบาฟุน โดยมีความหวานอ่อนๆ และกลิ่นอายทะเลที่หอมหวนสดชื่น เนื้อสัมผัสเบากว่า จนแทบเหมือนกับครีมคัสตาร์ด สามารถกินสดๆ หรือใช้ในซูชิ พาสต้า หรือริซอตโต้ก็อร่อยทุกแบบ
แม้ว่าทั้งคู่จะเป็นไข่หอยเม่นเหมือนกัน แต่ให้รสชาติและเนื้อสัมผัสการกินที่แตกต่างกัน โดยไข่หอยเม่นบาฟุน เน้นความเข้มข้นของรสชาติ สี และเนื้อสัมผัส ขณะที่ไข่หอยเม่นมูราซากิ ให้สัมผัสที่เนียนและละเอียดกว่า ทั้งสองอย่างโด่งดังในด้านอาหารญี่ปุ่นและได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆทั่วโลกจากเอกลักษณ์เฉพาะตัว
- คำว่า "อูนิ" (ウニ) แปลว่า "หอยเม่น"
- คำว่า "บาฟุน" (馬糞) แปลว่า "มูลม้า" เนื่องจากลักษณะของเปลือกของหอยเม่นเหมือนมูลของม้า
- คำว่า "มูราซากิ" (紫) แปลว่า "สีม่วง" ซึ่งหมายถึงสีของเปลือกของหอยเม่น
ความแตกต่าง
หอยเม่นบาฟุนและหอยเม่นมูราซากิ เป็นหอยเม่นทะเลทั้งสองชนิด แต่มีความแตกต่างกันในแง่ของรสชาติ สี เนื้อสัมผัส และขนาด
- ขนาด
- หอยเม่นบาฟุนเป็นเม่นทะเลที่มีหนามสั้น ซึ่งพบได้ในน้ำที่เย็น
- หอยเม่นมูราซากิจะมีขนาดใหญ่กว่า และพบในน้ำอุ่น
- ความแตกต่างของขนาดนี้ยังส่งผลให้ขนาดของเม็ดไข่ด้วย โดยหอยเม่นบาฟุนก็จะมีขนาดเล็กกว่าหอยเม่นมูราซากิ
- หอยเม่นบาฟุนเป็นเม่นทะเลที่มีหนามสั้น ซึ่งพบได้ในน้ำที่เย็น
- สี
- ไข่หอยเม่นบาฟุนโดยทั่วไปมีสีส้มสว่างสดใสถึงสีเหลือง
- ไข่หอยเม่นมูราซากิ มักจะเป็นสีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีทอง
- ไข่หอยเม่นบาฟุนโดยทั่วไปมีสีส้มสว่างสดใสถึงสีเหลือง
- รสชาติ
- ไข่หอยเม่นบาฟุนเป็นที่ขึ้นชื่อในรสชาติที่เข้มข้น หวานมัน
- ไข่หอยเม่นมูราซากิมีความหวานอ่อนๆ ไม่เลี่ยน
- ไข่หอยเม่นบาฟุนเป็นที่ขึ้นชื่อในรสชาติที่เข้มข้น หวานมัน
- เนื้อสัมผัส
- ไข่หอยเม่นบาฟุนมีความแน่น เต็มคำ เนื้อเรียบเนียน
- ไข่หอยเม่นมูราซากิมีเนื้อสัมผัสเบากว่า ความนุ่มนวลเกือบเหมือนครีมคัสตาร์ด
- ไข่หอยเม่นบาฟุนมีความแน่น เต็มคำ เนื้อเรียบเนียน
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ไข่หอยเม่น ไม่เพียงแต่เป็นอาหารอันแสนอร่อยเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากส่วนประกอบที่อุดมด้วยสารอาหารที่มีแต่ประโยชน์
- อุดมไปด้วยสารอาหาร
ไข่หอยเม่นเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ให้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมและบำรุงรักษาร่างกาย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและแร่ธาตุจำนวนมาก ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินอี วิตามินบี12 สังกะสี ไอโอดีน และทองแดง ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายต่างๆ - มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง
เช่นเดียวกับอาหารทะเลอื่นๆ ไข่หอยเม่นอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะ EPA (กรดอีโคซาเพนตะอีโนอิก) และ DHA (กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก) ซึ่งช่วยส่งเสริมสุขภาพด้านของหัวใจโดยการลดการอักเสบ ลดความดันโลหิต และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ - แหล่งที่ดีของสังกะสี (Zinc)
ไข่หอยเม่นเป็นแหล่งที่ดีของสังกะสี ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการทำงานของภูมิคุ้มกัน การรักษาบาดแผล และการสังเคราะห์ DNA - วิตามินบี12
เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินบี12 ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของเส้นประสาทและการผลิต DNA และเซลล์เม็ดเลือดแดง - ประโยชน์ต่อผิวหนังและดวงตา
เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น วิตามินเอและอี การบริโภคไข่หอยเม่นมีส่วนช่วยรักษาสุขภาพผิวหนังและดวงตาได้
แม้ว่าไข่หอยเม่นจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็มีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน ดังนั้นควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ นอกจากนี้ เช่นเดียวกับหอยและอาหารทะเลอื่นๆ ไข่หอยเม่นสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคนได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องระมัดระวังหากไม่เคยบริโภคมาก่อนหรือหากคุณรู้ว่าแพ้อาหารทะเล ก็ควรหลีกเลี่ยง