รู้หรือไม่..? 15 สิ่งน่าสนใจของปลาแซลมอน(Salmon)
อัพเดทล่าสุด: 11 ต.ค. 2024
653 ผู้เข้าชม
เมื่อพูดถึงปลาแซลมอน คงเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับหลายคน เป็นอาหารที่อร่อย ถูกปากทุกวัย ไม่ว่าจะกินดิบๆเป็นซาชิมิ ซูชิ หรือนำไปย่าง อบหรืออื่นๆได้หลากหลายวิธีการ แต่คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนเป็นปลาที่มีความสามารถเฉพาะตัวมากเป็นพิเศษ ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับโลกใต้น้ำเลย วันนี้เราจะมาเพิ่มเกล็ดความรู้เกี่ยวกับ 15 สิ่งน่าสนใจของปลาแซลมอนกัน
- คุณรู้ไหมว่า? หลังจากวางไข่ ปลาแซลมอนแปซิฟิกจะตาย และบางครั้งร่างกายที่เน่าเปื่อยของพวกมันยังคงว่ายอยู่ ปรากฏการณ์นี้จะเรียกว่า "Zombie Salmon" เนื่องจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อยังคงทำงานอยู่
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนแปซิฟิกส่วนใหญ่ตายหลังจากวางไข่ได้ไม่นาน แต่ปลาแซลมอนแอตแลนติกจำนวนมากสามารถอยู่รอดและกลับลงสู่มหาสมุทรเพื่อวางไข่อีกครั้งในปีต่อๆไปได้
- ปลาแซลมอนแปซิฟิก: ปลาแซลมอนชนิดนี้ส่วนใหญ่จะตายหลังจากการวางไข่ ครั้งเดียวในชีวิต (เรียกว่า "semelparous") การตายหลังจากการวางไข่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชีวภาพของพวกมัน ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้มีการส่งผ่านพันธุกรรมไปยังลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ปลาแซลมอนแอตแลนติก: ในทางตรงกันข้าม ปลาแซลมอนแอตแลนติกบางตัวสามารถรอดกลับไปยังทะเลได้ เพื่อฟื้นฟูพลังชีวิต และกลับไปวางไข่ได้หลายครั้งในชีวิต (เรียกว่า "iteroparous")
- ปลาแซลมอนแปซิฟิก: ปลาแซลมอนชนิดนี้ส่วนใหญ่จะตายหลังจากการวางไข่ ครั้งเดียวในชีวิต (เรียกว่า "semelparous") การตายหลังจากการวางไข่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชีวภาพของพวกมัน ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้มีการส่งผ่านพันธุกรรมไปยังลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนตัวเมียสามารถวางไข่ได้มากถึง 5,000 ฟอง แต่มีเพียงไม่กี่ฟองเท่านั้นที่จะอยู่รอดจนโตเต็มวัยได้ ปลาตัวเล็กจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสัตว์ชนิดอื่นๆ การขาดอาหาร และสภาพน้ำที่ไม่เหมาะสม โอกาสที่ปลาแซลมอนจะรอดจากระยะไข่จนถึงโตเต็มวัยนั้นต่ำมาก โดยปกติแล้ว อาจจะต่ำถึง 1% หรือน้อยกว่านั้น ซึ่งหมายความว่าจากไข่ 5,000 ฟอง อาจจะมีปลาแซลมอนที่รอดชีวิตและโตเต็มวัยได้เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง
- คุณรู้ไหมว่า? ในระหว่างการเดินทางกลับไปยังลำธารเพื่อวางไข่หรือที่เรียกว่า "Salmon Run" ปลาแซลมอนบางชนิดจะไม่กินเลยและใช้พลังงานสำรองที่สะสมไว้สำหรับการเดินทางเท่านั้น เพราะว่าโดยพื้นฐานแล้ว การไม่กินอาหารระหว่างวางไข่เป็นกลยุทธ์ในการเอาชีวิตรอดที่ช่วยให้ปลาแซลมอนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงที่สุด และจัดลำดับความสำคัญของการขยายพันธุ์ในช่วงชีวิตสุดท้ายของพวกมัน ซึ่งมักจะต้องเดินทางไกลหลายร้อยไมล์
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนสามารถใช้เวลา 2-4 ปีหรือมากกว่านั้นในการกลับไปวางไข่ที่แหล่งน้ำที่พวกมันเกิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ความพร้อมทางชีวภาพ และสภาพแวดล้อมทางน้ำ พวกมันต้องเดินทางได้หลายพันไมล์ หลังจากวางไข่ ปลาแซลมอนตัวเมียจะปกป้องไข่จากศัตรู และในบางครั้ง ตัวเมียและตัวผู้ทั้งสองตัวอาจจะตายหลังจากกระบวนการวางไข่ได้ เนื่องจากพวกมันใช้พลังงานมากในการเดินทางกลับและวางไข่
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนใช้การดมกลิ่นเพื่อหาทางกลับไปยังแหล่งน้ำเพื่อวางไข่ พวกมันจะทิ้งรอยเคมีไว้เป็นแผนที่ ตั้งแต่พวกมันยังเป็นเด็ก และใช้ "แผนที่กลิ่น" นี้เพื่อนำทางกลับมาบ้านเมื่อเติบโตเต็มที่แล้ว ซึ่งช่วยให้ปลาแซลมอนหลีกเลี่ยงการหลงทางและสามารถทำภารกิจการวางไข่ของพวกมันสำเร็จได้
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนมีประสาทรับกลิ่นที่ดีมากๆ ซึ่งมีความไวต่อกลิ่นมากกว่ามนุษย์หลายแสนเท่า ปลาแซลมอนใช้ความสามารถในการรับรู้กลิ่นนี้เพื่อติดตามกลิ่นของน้ำที่ไหลจากแหล่งที่ต้นทางของพวกมัน เมื่อปลาแซลมอนพร้อมวางไข่ พวกมันจะว่ายขึ้นต้นน้ำไปยังบริเวณที่พวกมันเกิด เพื่อวางไข่ และตายหลังจากนั้น ดังนั้น ความสามารถในการรับรู้กลิ่นนี้มีความสำคัญมากสำหรับการดำรงชีวิตของปลาแซลมอน
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนจริงๆแล้ว มีสายตาที่ดีเยี่ยม พวกมันสามารถรับรู้สีได้หลากหลาย รวมถึงรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเห็นได้ ซึ่งช่วยให้ปลาแซลมอนสามารถตรวจจับทั้งผู้ล่าและเหยื่อได้ดีเยี่ยม ช่วยให้พวกมันสามารถตรวจสอบความสะอาดของน้ำหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีน้ำที่ปนเปื้อน และความปลอดภัยของสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ได้ดีขึ้น
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนมีความไวต่ออุณหภูมิน้ำอย่างมาก ทำให้ปลาแซลมอนเป็นหนึ่งในสปีชีส์ที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและอุณหภูมิของน้ำ ปลาแซลมอนเจริญเติบโตและพัฒนาได้ดีที่สุดในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำ และมีออกซิเจนที่เพียงพอ อุณหภูมิน้ำที่สูงเกินไปสามารถมีผลกระทบต่อการหาอาหาร การเจริญเติบโต และการรอดชีวิตของปลาแซลมอน
อุณหภูมิน้ำที่สูงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกร้อน หรือกิจกรรมทางมนุษย์ อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตของปลาแซลมอน และยังส่งผลกระทบต่อปริมาณอาหารในน้ำ และสภาพอนุภาพทางนิเวศวิทยาของปลาแซลมอน. กรณีที่เหล่านี้ทำให้ความมีชีวิตรอดของปลาแซลมอนตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยง - คุณรู้ไหมว่า? ประเทศนอร์เวย์และชิลีเป็นผู้ผลิตปลาแซลมอนเลี้ยงรายใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการจัดหาปลาแซลมอนทั่วโลก โดยประเทศนอร์เวย์ถือเป็นผู้บุกเบิกในการทำฟาร์มปลาแซลมอน โดยเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และประเทศชิลีเป็นผู้เล่นหลักอีกรายหนึ่งในตลาดการเลี้ยงปลาแซลมอนทั่วโลก โดยเน้นไปที่การผลิตปลาแซลมอนแอตแลนติกเป็นพิเศษ
- คุณรู้ไหมว่า? อลาสก้าเป็นที่ตั้งของทั้ง 5 สายพันธุ์ปลาแซลมอนแปซิฟิก ซึ่งรวมถึง Chinook, Sockeye, Coho, Pink, และ Chum. อลาสก้ามีนโยบายที่เข้มงวดในการจัดการและการคุ้มครองปลาแซลมอน เพื่อรักษาและส่งเสริมการทำประมงที่ยั่งยืนระยะยาว การเลี้ยงปลาแซลมอนในอลาสก้าจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากรัฐมีความมุ่งมั่นในการรักษาและเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมทางน้ำที่เหมาะสม และทำให้สัตว์น้ำสามารถอยู่อาศัยและเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน
- คุณรู้ไหมว่า? สีชมพูหรือสีแดงที่เห็นในเนื้อปลาแซลมอน จริงๆแล้วมาจากการที่ปลาแซลมอนได้รับสารที่เรียกว่า “แอสตาแซนธิน” (Astaxanthin) จากอาหารของมัน ซึ่งมีอยู่ในเคยและหอยนา แอสตาแซนธินเป็นสีผสมที่มีสีชมพูถึงแดง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เนื่องจากเป็นสารป้องกันออกซิเดชันที่ช่วยป้องกันโรคหลายๆ ชนิด หากปลาแซลมอนไม่ได้รับแอสตาแซนธินจากอาหาร สีเนื้อปลาของมันจะเป็นสีเทา
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยจับได้หนัก 126 ปอนด์ (57 กิโลกรัม) ซึ่งเป็นคิงแซลมอนที่จับได้เมื่อปี 1949 ใกล้กับเมืองปีเตอร์สเบิร์ก รัฐอลาสกา ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องแหล่งตกปลาที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนมีความสามารถในการกระโดดที่สูงมาก ทำให้มันสามารถกระโดดขึ้นจากน้ำได้สูงถึง 10 ฟุต หรือ 3 เมตร เพื่อปีนน้ำตกหรือเขื่อนต่างๆ ในระหว่างการย้ายถิ่นฐาน การกระโดดนี้ช่วยให้มันสามารถกลับไปยังแหล่งที่มันเกิดเพื่อวางไข่ได้
- คุณรู้ไหมว่า? ปลาแซลมอนสามารถว่ายด้วยความเร็วสูงถึง 9 ไมล์ต่อชั่วโมง (14.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และพวกมันสามารถว่ายน้ำได้หลายไมล์ในหนึ่งวันในระหว่างการอพยพ
บทความที่เกี่ยวข้อง