ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน (Bluefin Tuna) Hon-Maguro คืออะไร ?
ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน (Bluefin Tuna) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Hon-Maguro” เป็นสายพันธุ์ปลาทูน่าที่มีราคาสูงที่สุด เป็นปลาทะเลเลือดอุ่นที่พบในน่านน้ำเขตอบอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก ถ้าพูดถึงคุณภาพเนื้อปลาทูน่าที่ดีที่สุดแล้วหล่ะก็ ต้องปลาทูน่าครีบน้ำเงินเท่านั้น โดดเด่นทั้งในด้านรสชาติ และเนื้อสัมผัสที่นุ่มละลายในปาก ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นวัตถุดิบอาหารที่มีมูลค่าสูงมาก หรูหรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาหารญี่ปุ่น มักใช้ในอาหารประเภทซูชิและซาซิมิ เรามารู้จักเกี่ยวกับปลาทูน่าครีบน้ำเงินให้มากขึ้นกัน
ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน (Thunnus thynnus) เป็นปลาทูน่าสายพันธุ์หนึ่งที่สามารถพบได้ในมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นหนึ่งในปลาทูน่าสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด สามารถมีความยาวได้ถึง 4.6 เมตร (15 ฟุต) และหนักได้มากกว่า 680 กิโลกรัม (1,500 ปอนด์) ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมีรสชาติที่ลึกล้ำและถือว่าเป็นหนึ่งในปลาที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่รู้จักกันมีอยู่ 3 สายพันธุ์ ได้แก่
- ปลาทูน่าครีบน้ำเงินแอตแลนติก Atlantic Bluefin Tuna (Thunnus Thynnus) คือสายพันธุ์ปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดและใหญ่ที่สุด พบในมหาสมุทรแอตแลนติกตั้งแต่นิวฟันด์แลนด์ถึงอ่าวเม็กซิโก และจากนอร์เวย์ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
- ปลาทูน่าครีบน้ำเงินแปซิฟิก Pacific Bluefin Tuna (Thunnus Orientalis) คือปลาทูน่าครีบน้ำเงินสายพันธุ์ขนาดเล็กรองลงมาที่พบในมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งแต่ญี่ปุ่นไปจนถึงแคลิฟอร์เนีย
- ปลาทูน่าครีบน้ำเงินใต้ Southern Bluefin Tuna (Thunnus Maccoyii) เป็นสายพันธุ์ที่เล็กที่สุดของปลาทูน่าครีบน้ำเงิน และพบได้ในซีกโลกใต้ ส่วนใหญ่อยู่นอกชายฝั่งของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์
ถิ่นที่อยู่อาศัย
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสามารถพบได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่หลากหลายทั่วโลก เป็นปลาเลือดอุ่นที่ชอบอาศัยอยู่ในน่านน้ำเขตอบอุ่นและเขตร้อน
- ในมหาสมุทรแอตแลนติก ปลาทูน่าครีบน้ำเงินจะพบมากในภูมิภาคตะวันตกและตะวันออก โดยมีประชากรอยู่ในอ่าวเม็กซิโก แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยทั่วไปแล้วปลาจะวางไข่ในอ่าวเม็กซิโกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และจะอพยพย้ายไปยังน่านน้ำที่เย็นกว่าทางตอนเหนือในช่วงฤดูร้อน
- ในมหาสมุทรแปซิฟิก ปลาทูน่าครีบน้ำเงินจะพบมากในแถบตะวันตกและภาคกลาง โดยมีประชากรอยู่ในน่านน้ำของญี่ปุ่น เกาหลี และออสเตรเลีย โดยทั่วไปแล้วปลาจะวางไข่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกและอพยพย้ายไปยังภาคเหนือและตะวันออกในช่วงฤดูร้อน
- ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นปลาทะเลที่ชอบอาศัยอยู่ในทะเลเปิด ซึ่งสามารถว่ายน้ำได้อย่างอิสระในน้ำลึก สามารถเดินทางได้หลายพันไมล์ในปีเดียว และสามารถดำน้ำได้ลึกถึง 457 เมตร (1,500 ฟุต)
โดยรวมแล้ว ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นปลาที่ปรับตัวได้ดีและสามารถเจริญเติบโตได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่หลากหลายทั่วโลก นิสัยการอพยพย้ายถิ่นและความสามารถในการเดินทางไกลทำให้เป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจ และมีความสำคัญในโลกของชีววิทยาทางทะเล
ลักษณะ
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมีลักษณะที่แตกต่างจากปลาทูน่าสายพันธุ์อื่น ได้แก่
- ขนาด: ปลาทูน่าครีบน้ำเงินแอตแลนติกสามารถมีความยาวได้ถึง 4.6 เมตร (15 ฟุต) และหนักมากกว่า 680 กก. (1,500 ปอนด์) ในขณะที่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินแปซิฟิกสามารถโตได้ถึง 3 เมตร (9.8 ฟุต) และหนักประมาณ 450 กก. (990 ปอนด์)
- ลำตัว: มีลำตัวรูปทรงตอร์ปิโด ซึ่งทำให้มีความคล่องตัวสูงและทนทาน รูปร่างทรงนี้ช่วยให้ว่ายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และด้านข้างของลำตัวเป็นสีเงิน ซึ่งช่วยให้ให้ความกลมกลืนกับน้ำโดยรอบได้
- หลัง (ส่วนบน): ส่วนหลังหรือส่วนบนของตัวปลานั้นเป็นสีน้ำเงินเมทัลลิคเข้ม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ สีอาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับสภาพแสงและปลาแต่ละตัว
- หาง: มีหางรูปพระจันทร์เสี้ยวขนาดใหญ่ที่ให้แรงขับเคลื่อนที่ทรงพลังในการเคลื่อนที่ในน้ำ
- ครีบ: มีครีบเล็กหลายชุดที่หลังและท้องซึ่งช่วยในการควบคุม และยังมีครีบแหลมคมที่หลัง ที่สามารถล็อกให้ตั้งตรงได้ ซึ่งช่วยป้องกันการถูกล่าได้
โดยรวมแล้ว ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นซึ่งสะท้อนถึงการปรับตัวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับชีวิตในมหาสมุทรเปิด รูปร่างที่ปราดเปรียว หางอันทรงพลัง และสีน้ำเงินเมทัลลิกทำให้ดูน่าเกรงขามเมื่ออยู่ในน้ำ
อาหาร
แหล่งอาหารของปลาทูน่าครีบน้ำเงิน จะกินเหยื่อหลากหลายชนิด รวมทั้งปลา หมึก และสัตว์จำพวกครัสเตเชียน เป็นนักล่าที่ว่องไว ซึ่งใช้ความเร็วและความคล่องตัวในการจับเหยื่อในมหาสมุทรเปิดได้ดี
รู้หรือไม่? ปลาทูน่าครีบน้ำเงินยังกินปลาทูน่าสายพันธุ์อื่นด้วย เช่น Skipjack Tuna (Katsuwonus pelamis) และ Yellowfin Tuna (Thunnus albacares) แม้ว่า 2 สายพันธุ์นี้จะไม่รู้ตัว ว่าตนตกเป็นเหยื่อของปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็ตาม
แหล่งอาหารอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สถานที่ ช่วงเวลาของปี และความพร้อมของเหยื่อ อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าพวกมันเป็นสัตว์นักล่าที่ต้องกินอาหารปริมาณมาก เพราะต้องการพลังงานมาใช้เผาผลาญสูง
อายุขัย
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายสิบปี แม้ว่าอายุขัยที่แน่นอนของปลาแต่ละตัวอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ
- อายุเมื่อโตเต็มวัย: โดยทั่วไป ช่วงอายุโตเต็มวัยจะประมาณ 5-10 ปี
- อายุขัย: ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 40 ปีขึ้นไป แม้ว่าหลายชนิดจะอยู่ได้ไม่นานนักเนื่องจากการถูกจับโดยมนุษย์และปัจจัยอื่นๆ อายุขัยที่แน่นอนของปลาแต่ละตัวขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม อาหาร และสภาพแวดล้อม
- ขนาดและอายุ: ปลาทูน่าครีบน้ำเงินจะเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ในช่วยวัยเด็ก และสามารถโตยาวได้หลายฟุตภายในสองสามปีแรกของชีวิต แต่การเจริญเติบโตจะลดช้าลงเมื่ออายุมากขึ้น
โดยรวมแล้ว ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นสายพันธุ์ที่มีอายุยืนที่สามารถอยู่รอดได้หลายสิบปี หากไม่ได้รับผลกระทบจากการประมงหรือภัยคุกคามอื่นๆ
วิธีการตกปลา
มีหลายวิธีที่ใช้ในการตกปลาทูน่าครีบน้ำเงิน รวมทั้งเทคนิคแบบดั้งเดิมและสมัยใหม่
- การตกปลาแบบใช้เบ็ด: เป็นวิธีการตกปลาแบบดั้งเดิมที่ใช้คันเบ็ดยาวเพื่อจับปลาทีละตัว วิธีนี้มักใช้ในการประมงพื้นบ้านและการประมงขนาดเล็ก โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น
- การตกปลาด้วยอวน: เป็นประเภทของการตกปลาด้วยตาข่ายขนาดใหญ่ เพื่อดักปลา วิธีนี้มักใช้ในการตกปลาเชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะในทะเลเมดิเตอเรเนียน
- การตกปลาด้วยฉมวก: เป็นวิธีการตกปลาแบบดั้งเดิมที่มีปลายคล้ายหอกเพื่อจับปลาทีละตัว วิธีนี้มักใช้ในการประมงพื้นบ้านและประมงขนาดเล็ก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
ฤดูกาลไหนที่อร่อยที่สุด
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสามารถรับประทานได้ตลอดทั้งปี โดยทั่วไปแล้ว ปลาทูน่าครีบน้ำเงินคุณภาพดีที่สุดจะจับได้ในช่วงเดือนหน้าหนาว เนื่องจากปลามีแนวโน้มที่จะมีปริมาณไขมันสูงกว่า ซึ่งส่งผลต่อรสชาติและเนื้อสัมผัส
- ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสายพันธุ์แอตแลนติก (Atlantic Bluefin Tuna) คุณภาพจะดีที่สุด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ ในทะเลเมดิเตอเรเนียน ปลาทูน่าครีบน้ำเงินแอตแลนติกมีมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากการเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพไปยังแหล่งวางไข่
- ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสายพันธุ์แปซิฟิก (Pacific Bluefin Tuna) คุณภาพจะดีที่สุด ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงมีนาคม น่านน้ำทั่วญี่ปุ่น โดยเฉพาะบริเวณช่องแคบสึชิมะและทะเลจีนตะวันออก มีปริมาณปลาทูน่าครีบน้ำเงินแปซิฟิกเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูหนาว
- ปริมาณไขมัน: ในช่วงเดือนหน้าหนาว ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมีแนวโน้มที่จะมีปริมาณไขมันสูงกว่า ไขมันส่วนท้องนี้มีชื่อเรียกว่า "โทโร่" ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านรสชาติที่อร่อยสุดๆและเนื้อสัมผัสที่เนียนละเอียดแบบละลายในปาก ปริมาณไขมันที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการที่ปลาทูน่าเตรียมพร้อมสำหรับการอพยพเดินทางไกล จึงต้องการพลังงานสำรองเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการเดินทางไกล
- การย้ายถิ่น: ปลาทูน่าครีบน้ำเงินจะทำการอพยพเดินทางเป็นระยะทางไกลข้ามพื้นที่ เพื่อวางไข่ ช่วงเดือนหน้าหนาว ซึ่งตรงกับรูปแบบการอพยพย้ายถิ่นจากแหล่งหาอาหารในน้ำที่เย็นไปยังแหล่งวางไข่ในน้ำอุ่น ทำให้ชาวประมงสามารถค้นหาและจับได้ง่ายขึ้น
- รสชาติและเนื้อสัมผัส: อุณหภูมิของน้ำที่เย็นกว่าสามารถส่งผลดีต่อรสชาติและเนื้อสัมผัสของปลา จากปริมาณไขมันที่เพิ่มขึ้นช่วยให้เนื้อนุ่มและชุ่มฉ่ำด้วย
การใช้ประกอบอาหาร
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นปลาที่มีเนื้อนุ่มละลาย รสชาติอร่อยถูกปาก และมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีต่อสุขภาพสูงอีกด้วย เป็นปลาอเนกประสงค์ที่สามารถเตรียมได้หลากหลายวิธีและเป็นที่นิยมในอาหารญี่ปุ่นเป็นพิเศษ
- ซูชิและซาซิมิ: ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นส่วนประกอบยอดนิยมในอาหารประเภทซูชิและซาซิมิ โดยมักจะเสิร์ฟแบบดิบหรือย่างไฟอ่อนๆ เพื่อเพิ่มความหอมจากไขมันที่โดนไฟอ่อนๆ
- การย่างและการเซีย: ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสามารถนำไปย่างหรือเซียบนกระทะเพื่อให้หนังกรุบกรอบในขณะที่เนื้อด้านในยังดิบแบบมีเดียมแรร์อยู่ วิธีการเตรียมนี้เน้นรสชาติตามธรรมชาติของปลาและเข้ากันได้ดีกับซอสและเครื่องเคียงต่างๆ
- การประกอบอาหารอื่นๆ: ปลาทูน่าครีบน้ำเงินยังสามารถใช้ได้หลากหลาย เช่น เซวิเช่ ทาร์ทาร์ และสลัด เนื้อปลาที่เนื้อแน่นทำให้เป็นส่วนผสมที่หลากหลายซึ่งสามารถนำมาใช้ในอาหารได้หลากหลายประเภท
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นส่วนวัตถุดิบยอดนิยมในอาหารญี่ปุ่น และสามารถประกอบอาหารได้หลายวิธีเพื่อให้เหมาะกับรสนิยมและประเพณีการทำอาหารที่แตกต่างกันไป
ส่วนไหนที่นิยมมากที่สุด
ส่วนที่แพงที่สุดและเป็นที่นิยมที่สุดของปลาทูน่าครีบน้ำเงินคือเนื้อส่วนท้องที่มีไขมันซึ่งเรียกว่า “โทโร่” ในอาหารญี่ปุ่น เนื่องจากเนื้อส่วนท้องของปลาทูน่าครีบน้ำเงินมีไขมันสูง ทำให้ได้รสชาติเข้มข้นอร่อยและเนื้อสัมผัสที่นุ่มละลายในปาก คุณภาพและราคาของโทโร่อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปริมาณไขมัน สี และเนื้อสัมผัสของเนื้อ
โทโร่มี 3 เกรดหลักซึ่งพิจารณาจากปริมาณไขมันและเนื้อสัมผัส
- โอโทโร่ (Otoro) โอโทโร่เป็นโทโร่เกรดสูงสุด ซึ่งเป็นเนื้อส่วนท้องใกล้กับส่วนหัวของปลา มีไขมันสูงและสวยงาม ถือว่าเป็นส่วนที่มีราคาแพงที่สุดของปลา ได้รับการยกย่องในเรื่องรสชาติที่เข้มข้น และเนื้อสัมผัสที่นุ่มละลายในปาก
สีของโอโทโร่มีตั้งแต่สีชมพูไปจนถึงสีแดงเข้ม ขึ้นอยู่กับอายุ อาหาร และปริมาณไขมันของปลา โอโทโร่คุณภาพที่สูงสุด จะมีไขมันแทรกมากที่สุด
โอโทโร่เป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าสูงในอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะอาหารประเภทซูชิและซาซิมิ มักจะเสิร์ฟแบบดิบหรือย่างไฟอ่อนๆ โดยปรุงรสเพียงเล็กน้อยเพื่อชูรสชาติตามธรรมชาติของปลาออกมา เนื่องจากความต้องการสูง โอโทโร่จึงเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่มีราคาแพงและเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลกของอาหารทะเล
- ชูโทโร่ (Chutoro) ชูโทโร่มาจากส่วนตรงกลางของท้องซึ่งมีไขมันน้อยกว่าโอโทโร่เล็กน้อย แต่ก็ยังสูงกว่าในอากามิ ถือว่าเป็นเกรดกลางๆ ระหว่าง Otoro (เกรดสูงสุด) และ Akami (เกรดน้อยที่สุด)
ชูโทโร่มีเนื้อแน่นนุ่มและรสชาติที่เข้มข้นน้อยกว่าโอโทโร่ สีของชูโทโระเป็นเฉดสีชมพูหรือแดงที่อ่อนกว่าโอโทโระ และมีไขมันลายหินอ่อนในระดับปานกลาง ซึ่งทำให้ได้กลิ่นหอมในปาก
ชูโทโร่มักใช้ในอาหารประเภทซูชิและซาซิมิ โดยมักจะเสิร์ฟแบบดิบหรือย่างไฟอ่อนๆ เป็นตัวเลือกยอดนิยมในหมู่เชฟซูชิเพราะมีความสมดุลของรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ดี ทำให้สามารถประกอบอาหารได้หลากหลาย ด้วยคุณภาพและรสชาติที่อร่อยไม่แพ้โอโทโร่มากนัก ชูโทโร่จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในราคาที่เอื้อมถึงได้
โดยสรุป ชูโทโร่คือเนื้อส่วนท้องปลาทูน่าครีบน้ำเงินเกรดระดับกลางที่มีเนื้อแน่นแต่นุ่มและรสชาติเข้มข้นเต็มคำ แม้ว่าชูโทโร่จะไม่ได้มีราคาแพงหรือหายากเท่าโอโทโร่ แต่ชูโทโร่ก็ยังเป็นส่วนประกอบที่มีคุณค่าสูงในอาหารญี่ปุ่นและมีคุณค่าในด้านคุณภาพและรสชาติ
- อากามิ (Akami) อากามิเป็นเนื้อส่วนท้องถัดมาทางหาง ซึ่งมีไขมันน้อยที่สุด ตรงข้ามกับโทโร่ซึ่งเป็นเนื้อส่วนท้องของปลาที่มีไขมันมากกว่า อากามิมีรสชาติไม่เข้มข้นเมื่อเทียบกับโทโร แต่ราคาไม่แพง
อากามิมีเนื้อสัมผัสที่แน่นและรสชาติของเนื้อที่ลึก ซึ่งมักถูกเทียบว่าคล้ายกับเนื้อวัว สีของอะกะมิเป็นสีแดงเข้ม และมีปริมาณไขมันต่ำ ทำให้มีรสชาติที่เด่นชัดกว่าเมื่อเทียบกับโทโร่และชูโทโร่ มักใช้ในอาหารประเภทซูชิและซาซิมิ โดยมักจะเสิร์ฟแบบดิบหรือย่างไฟอ่อนๆเช่นเดียวกัน
แม้จะมีราคาไม่สูงหรือเป็นที่ต้องการเท่าโทโร่ แต่อากามิก็ยังคงเป็นส่วนผสมที่มีคุณค่าในอาหารญี่ปุ่น และมักถูกใช้เป็นทางเลือกที่มีราคาย่อมเยามากกว่า
โดยสรุปแล้ว อากามิเป็นส่วนที่มีเนื้อบางกว่าแต่รสชาติของเนื้อลึกชัด มีไขมันน้อยกว่าส่วนโทโร่ ราคาไม่แพง
ราคาของปลาทูน่าครีบน้ำเงิน
ราคาของปลาทูน่าครีบน้ำเงินนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งเรื่องคุณภาพของเนื้อปลา สี และไขมัน เรื่องขนาดตัวของปลา ช่วงฤดูกาล การประมูล ใบรับรอง และการขนส่งไปยังร้านค้าต่างๆ
- คุณภาพ: คุณภาพของปลาทูน่า รวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณไขมัน สี และเนื้อสัมผัส มีบทบาทสำคัญในการกำหนดราคา โดยทั่วไป ปลาทูน่าที่มีปริมาณไขมันสูงโดยเฉพาะบริเวณส่วนท้อง (โอโทโร่) ถือเป็นที่ต้องการมากกว่าและมีราคาสูงกว่า
- ขนาด: ปลาทูน่าครีบน้ำเงินขนาดใหญ่มักจะมีราคาแพงกว่าเนื่องจากมักมีปริมาณไขมันสูงกว่าและถือว่าเป็นที่ต้องการมากกว่าในแง่ของรสชาติและเนื้อสัมผัส นอกจากนี้ ปลาขนาดใหญ่ต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้นในการจับ ซึ่งอาจทำให้ราคาสูงกว่าได้เช่นกัน
- ฤดูกาล: ราคาของปลาทูน่าครีบน้ำเงินอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของปี อย่างที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ฤดูกาลที่ดีที่สุดสำหรับปลาทูน่าครีบน้ำเงินโดยทั่วไปคือช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น เมื่อปลามีปริมาณไขมันสูง ความต้องการปลาทูน่ามักจะสูงขึ้นตาม
- ราคาประมูล: ในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดปลาที่มีชื่อเสียง เช่น ตลาดโทโยสุในโตเกียว (เดิมคือตลาดสึกิจิ) ปลาทูน่าครีบน้ำเงินสามารถประมูลได้ในราคาสูงเป็นพิเศษ
- ใบรับรอง: ใบรับรองต่างๆ เช่น ฉลากของ Marine Stewardship Council (MSC) สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับปลาทูน่าได้ เนื่องจากช่วยให้มั่นใจได้ว่าปลานั้นถูกจับได้ด้วยวิธีปฏิบัติที่ยั่งยืน
- การขนส่ง: ต้นทุนของการขนส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปลาทูน่าครีบน้ำเงินสดอาจมีนัยสำคัญ ทั้งการจัดเก็บ และการขนส่งที่เหมาะสมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาคุณภาพของปลา และปัจจัยเหล่านี้สามารถส่งผลต่อราคาที่สูงขึ้นได้
ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเป็นหนึ่งในปลาทูน่าสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด คุณภาพพรีเมี่ยม ราคาสูงที่สุด เพราะเนื้อนุ่มละลาย รสชาติเข้มข้นอร่อย ลายไขมันแทรกสูง โดยเฉพาะส่วนของโอโทโร่ ซึ่งเป็นที่ต้องการมากตามร้านอาหารหรูๆ หากต้องการรับประทานก็แนะนำให้เป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ จะดีที่สุด เพราะจะมีไขมันสูง